วันศุกร์, 7 กุมภาพันธ์ 2568

มาปฏิบัติหน้าที่โดยพุทธศาสตร์

ชนทั้งหลายประกาศศาสนาพุทธกันมากพอแล้ว คงไม่พบพระธรรม
มาศึกษาพุทธศาสตร์ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้กันเถิด

พุทธศาสตร์ คือ วิชาการที่เจ้าชายสิทธัตถะค้นพบ เมื่อประมาณสองพันกว่าปีมาแล้ว  ซึ่งว่าด้วยเรื่อง ดังนี้

  • มี วิชา 4 เป็นหลัก
  • มี วิธีการ 3 เป็นเครื่องมือปฏิบัติหน้าที่
  • มี ปฏิบัติการ 8 เป็นวิถีทางที่บริสุทธิ์บริบูรณ์

      เมื่อเราทำกิจกรรมอะไร จงรู้อย่างสะอาด ก็จะสว่างชัดเจนเห็นสิ่งนั้นอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ นี่คือพุทธะ ทุก ๆ คนมีธาตุความเป็นพุทธะอยู่แล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าท่านจะแสดงธรรม ท่านเห็นว่ามนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะอยู่แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจจะแสดงธรรม ว่าแสดงธรรมกับใครก่อน ก็พิจารณาไปที่อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ก็เห็นว่าฉิบหายไปแล้ว ก็จึงได้พิจารณาไปที่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่เคยอยู่ด้วยกันมา ก็ได้ตกลงเดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เริ่มแสดงธรรมครั้งแรก ณ ที่นั้น ก็กล่าวบริบทแรก กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ให้ทบทวนสิ่งที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ จะเข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้เลย พระพุทธองค์กล่าวจบ ก็เริ่มแสดงธรรมเรื่องวิชา 4 คือ ความจริง 4 อย่างของสิ่งที่สังขารกันขึ้น (ที่บัญญัติว่าอริยสัจ) เราควรจะใช้จิตวิญญาณเดิม เอาธาตุความเป็นพุทธะอย่างบริสุทธิ์มารู้สิ่งที่ถูกรู้ คือ สิ่งที่สังขารกันขึ้นต่อหน้าเรา นั่นคือพระธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกรู้ คือ พระธรรม เมื่อรู้อะไรเป็นอะไรอย่างบริสุทธิ์ ก็จะปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ โดยธรรมอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยปราศจากทุกข์ มีแต่ความสงบสันติ นิพพาน

จงเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียก่อน จึงจะไปอนุเคราะห์สงฆ์อื่นได้ถูกต้อง ถ้าเรายังไม่เป็นสงฆ์ก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้นั้นเป็นสงฆ์ เดี๋ยวจะไปอนุเคราะห์โจรเข้านะครับ  อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รูปร่างเหมือนโค รอยเท้าเหมือนโค แต่เดินไม่เหมือนโค จะว่าโคได้อย่างไร ตั้งใจทำกรรมดี กลับเป็น ทำกรรมชั่วไปโดยไม่รู้ตัว เราจะรู้จักความเป็นสงฆ์ได้ เราต้องเป็นสงฆ์ก่อน

         ท่านทั้งหลายจงสมาทานสัมมาทิฏฐิ สิกขาวิชชา 4 อย่าง คือ เห็นความจริงของสิ่งที่สังขารกันขึ้นให้จงได้ ท่านก็จะมีศีล (สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ) เมื่อมีศีลก็จะมีสมาธิ (บริสุทโธ สมาหิโต กัมมนีโย) เมื่อมีสมาธิก็จะมีปัญญา (รู้กองสังขารครบถ้วน) อย่าเข้าใจผิดไปรับสิกขาบท 5-8-10-227 มารักษาว่าจะมีศีลได้อย่างไร รักษาศีลจนตายก็ไม่มีศีล อย่างเก่ง ก็ได้แค่ไม่ล่วงสิกขาบท ท่านนั้นให้มาพิจารณาเสียใหม่ พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมครั้งแรก ไม่ได้ให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 สมาทานสิกขาบท 5-8-10-227 เลย ลองคิดดูซิ ทำไมพระอัญญาโกณฑัณญะจึงได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาโดยแสดงธรรมโอวาทปาฏิโมกข์ตลอดมาจนถึงพรรษาที่ 25 จึงได้มอบหมายให้สงฆ์แสดงพระปาฏิโมกข์ ( สิกขาบท 227) ทุก ๆ ขึ้น 15 ค่ำ มาถึงทุกวันนี้ แล้วทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ภิกษุทุกวันนี้แม้แต่ปาฏิโมกข์ก็ไม่สังวรเลย อย่าไปพูดถึงเรื่องปฏิบัติธรรมเลย ยังมืดมิดเป็นอันธพาล (หมายถึง ผู้มีพาล (พา-ละ) มืด) เวลาทำการอุปสมบท รู้หรือไม่ว่าไปทำญัตติในอุโบสถ ให้ไปประชุมสงฆ์ ตรวจสอบว่าจะอุปสมบทเป็นภิกษุได้หรือไม่ แล้วลงมติสงฆ์ 100% จึงจะผ่าน แล้วให้สมาทานสิกขาบท 10 บริสุทธิ์ศีล 4  คือ

  1. ปาฏิโมกข์สังวร (สังวรในอนาปาปาฏิโมกข์ 227 ข้อ ลงโทษหนัก-เบาตามพระวินัยระบุไว้)
  2. อินทรียสังวร           (สังวร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  3. อาชีวบริสุทธิ์          (ดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์)
  4. จตุปัจจยปัจเวกขณ์  (ใช้สอยปัจจัยโดยพิจารณาโดยครบถ้วนก่อน)

            มาทำความชัดเจนความเป็นพระรัตนตรัยกันก่อน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระสงฆ์ ได้โดย

  1. พระพุทธ คือ ธาตุรู้ที่เรามีอยู่แล้ว จงรู้อย่างสะอาด ก็จะสว่าง รู้อย่างตื่นเบิกบาน (นี่คือพุทธะ)
  2. พระธรรม คือ สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลาย ที่สังขารกันขึ้น เอาธาตุรู้ที่บริสุทธิ์มารู้ (ความเป็นธรรมของทุกอย่างที่สังขารกันขึ้น (นี่คือพระธรรม)
  3. พระสงฆ์ คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยธรรม ของธรรมชาติที่สังขารกันขึ้นโดยเหตุปัจจัยนั้นๆ (นี่คือพระสงฆ์)

          จงทำให้ตัวเรา มีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ กันเถิดจะได้ไปวัดที่มีพระสงฆ์ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้

  • พุทธ คือ ความรู้ที่ตื่นเบิกบาน
  • ธรรม คือ ความจริงของสิ่งที่สังขารกันขึ้นที่ถูกรู้ต่อหน้านั้น
  • สงฆ์ คือ ปฏิบัติหน้าที่ตามความจริงของสิ่งที่สังขารกันขึ้นอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์
    เราก็มีพระรัตนตรัยเป็นตนเอง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นตนเอง เห็นสิ่งนั้นได้ต่อหน้า ทันเหตุการณ์ ปฏิบัติได้ เรียกดูได้ ผู้รู้โดยปัญญาย่อมประจักษ์ได้

สมพร แหยมไทย
11 พฤศจิกายน พ.ศ.2545